ในเดือนพฤศจิกายน 2006 Symon Bridle หัวหน้าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการคนใหม่ของโรงแรมและรีสอร์ทในเครือ
Shangri-La ได้ตรวจสอบความคืบหน้าของบริษัทแม่ในฮ่องกง ซึ่งได้ดำเนินการมา 10 ปีก่อนหน้านี้ ซึ่งมีการเติบโตจากธุรกิจที่มุ่งเน้นระดับภูมิภาคไปสู่กลุ่มโรง
แรมหรูระดับนานาชาติที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยพนักงานจำนวน 18,400 คน โรงแรมจำนวน 50 แห่ง และรายได้ 842 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โรงแรมและรีสอร์ทในเครือ Shangri-La เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโรงแรมหรู บริษัทมีการเติบโตอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพ
ิ่มขึ้นสำหรับโรงแรมหรูและรีสอร์ทในเอเชีย ยุโรปและอเมริกาเหนือ Bridle เป็นผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบสัญลักษณ์มาตรฐานของการต้อนรับที่
Shangri-La โดยมีรูปแบบการให้บริการตามแบบโรงแรมเอเชียดั้งเดิม ซึ่งมีการขยายตัวในระหว่างนี้
สำหรับสองสัปดาห์ที่ผ่านมา Bridle และทีมงานผู้จัดการระดับสูงของเขา ได้พิจารณาถึงจำนวนประเด็นปัญหาขององค์กรที่มีความท้าทายต่อกลย
ุทธ์การขยายตัวอย่างรวดเร็วของ Shangri-La ซึ่งมีสามประเด็นสำคัญ คือ 1. การขยายบริษัทไปยังประเทศที่มีค่าจ้างสูงในยุโรปและอเมริกาเหนื
อ 2. การขยายบริษัทไปยังประเทศจีน ประเทศที่พนักงานไม่เคยมีอำนาจในการตัดสินใจ และ 3. ผู้ค้ารายใหม่ในตลาดโรงแรมของจีนมีการแย่งตัวพนักงานของ Shangri-La และเพิ่มค่าจ้างขึ้นในตลาดค่าจ้างต่ำ
Bridle ได้ชั่งใจถึงทุกปัญหาเหล่านี้ เขาสงสัยว่าเขาควรทำอย่างไรต่อไป "คุณจะเชื่อมต่อแบรนด์ของคุณภายใต้ตลาดแรงงานที่ฝืดเคืองและสภาว
ะความกดดันนี้อย่างไร” เขาไตร่ตรอง
ประวัติความเป็นมาของบริษัท โรงแรมและรีสอร์ทในเครือ Shangri-La ซึ่งเป็นเครือโรงแรมหรูในเอเชีย ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 ที่ประเทศสิงคโปร์โดย Robert Kuok ผู้ประกอบการลูกครึ่งมาเลเซีย-จีน ซึ่งได้แรงบันดาลใจเกี่ยวกับชื่อ “Shangri-La” จากนวนิยายที่เล่าต่อกันมาของนักเขียนชาวอังกฤษ James Hilton เรื่อง Lost Horizon ซึ่งหมายถึง ความเยาว์วัยไม่มีที่สิ้นสุด สันติภาพและความราบรื่น จึงได้ทำการสร้างความสงบเป็นส่วนตัวและบริการให้เป็นรูปเป็นร่า
งขึ้น เพื่อเป็นเครือโรงแรมที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
โรงแรมแห่งแรกในสิงคโปร์ บริษัทได้สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งขันอย่างรวดเร็ว